ถ้ากำลังมองหารายได้เสริม อยากทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ในยุคนี้ เศรษฐกิจไม่ดี คนส่วนใหญ่จะจับจ่ายใช้สอยอะไร ต้องคิดแล้วคิดอีก ทางเว็บจึงนำประสบการณ์จากผู้ที่ลงทุนทำธุรกิจทุกอย่าง 20 บาทมาฝากกัน ธุรกิจทุกอย่าง 20 บาท เป็นการสร้างอาชีพสอดคล้องกับเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างยิ่ง ลองศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจ สามารถทำเป็นงานพาร์ทไทม์ ช่วงวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ โดยหาทำเลตลาดนัด
เริ่มต้นธุรกิจนี้อย่างไร? หลายๆคนสงสัย ว่า เริ่มต้นยังไง ใช้เงินลงทุนเท่าไร ทำเลที่ไหนดี ลงของเท่าไรดี ซื้อของจากไหนดี อะไรขายดี ได้กำไรเท่าไร คืนทุนเมื่อไร น่าลงทุนรึเปล่า ตอนนี้ถ้าเริ่มจะช้าไปรึเปล่า ผมเคยตั้งคำถามนี้เมื่อหลายปีก่อน เมื่อก่อนหาข้อมูลใน google มีน้อยมาก เริ่มทำจากไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีข้อมูล ถามไปเรื่อยๆ จนเริ่มมาได้ ตอนนี้พอลืมตาอ้าปากได้เลยมาตอบคำถามคาใจเรื่องนี้กันหน่อยครับ เพราะเห็นเปิดกันเยอะ รอดก้เยอะ เจ้งก็เยอะ เอามาแชร์ให้อ่านกันครับ
เอาเรื่องแรกเลยก็คือ ผมเริ่มจากร้านแบบห้องแถวตามตึก ทั่วไปก่อนนะครับ
1. เงินลงทุนตั้งต้น ลงของอย่างเดียวประมาณ แสนนึง จะได้ของประมาณ 6000 กว่าชิ้น มีของให้เลือกซื้อ 500 กว่าแบบ อัดใส่พื้นที่ห้อง กว้าง 5 เมตร ยาว 14 เมตร หมดพอดี ถ้าจะลงร้านกว้างกว่านั้นก็คูณกันไปเองนะครับ
ใช้ชั้นแขวนสินค้าทั้งหมดประมาณ 12 ตัว สูง 170 กว้าง 120 ซม. ตัวประมาณ 1200-1500 บาท จำไม่ค่อยได้นานแล้ว แต่ถ้าจ้างทำเองแบบซื้อเหล็กมาทำเอง ราคาก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร และถ้าเจ้งก็ขายทิ้งยากด้วย
ใช้ชั้นแบบวางแบบ 2 ด้านตรงกลางร้านแบบไว้วางของมี 3 ชั้นประมาณ 6 ตัว ตัวนี้แพงหน่อย ประมาณเกือบ 2000 ต่อตัว นี่แหล่ะผมแนะนำของพวกนี้อย่าไปลงทุนกับมันมากหาซื้อ มือสองดีกว่าถูกกว่าเยอะ ทำเองได้ก็ดี แต่ไม่สวยนะ
และชั้นวางทั่วไปอีก 4-5 ตัว รวมค่าที่วางของ เคาเตอร์เก็บตังค์ ที่แขวน พัดลม อะไรที่ตกแต่งร้านให้มันดูดี รวมๆแล้วประมาณ 30,000 จบ ต่อมาก็ค่า ป้าย ค่าเช่ากรณี ไม่มีที่ดินหรือตึกเป็นของตัวเอง เอาค่าป้ายก่อน ป้ายก็ตารางเมตรล่ะ 100 จะเอากี่ป้ายก็คูณไป ป้ายฟงป้ายไฟ ก็แล้วแต่ท่าน แต่แพงนะ ป้ายไฟเกือบ 4000 บาท มีป้ายเยอะ ป้ายใหญ่ก็จะต้องเสียภาษีป้ายด้วยเด้อ เอาเป็นว่า เอาให้คนเห็นว่าเราขายอะไรก็พอ ผมบอกนิดนึง อย่าไปเน้นคำว่า 20 บาทเยอะ บางสินค้าทำราคา 20 ไม่ได้ ท่านขาย 25 ลูกค้าก็จะถามแน่นอน เอาเป็นคำว่าสินค้าราคาถูก 20-25 ประมาณนี้ก็พอ หิวข้าวขอไปหาไรกินก่อน ว่างๆมาเขียนต่อ
เรื่องทำเลนั้น บอกยากว่าตรงไหนดีสุด แต่บอกได้เลย ว่าตรงไหนไม่ควรเปิด ผมมีหลักคร่าวๆดังนี้ครับ
สำหรับร้านเปิดใหม่ แต่ถ้ามีฐานลูกค้าอยู่แล้วเปิดในซอยยังมีคนตามไปซื้อเลย
1. ถนนหลักๆที่คนผ่านเยอะ ไม่ได้หมายความว่าจะขายดี ทำเลที่คนเดินผ่านจะขายดีกว่าที่รถผ่าน เช่นร้านคุณทำติดถนนใหญ่รถผ่านทุกวัน กับร้านคุณอยู่ในตลาดคนเดินผ่านทุกวัน ยอดขายคนล่ะเรื่อง เพราะน้อยมากที่ลูกค้าต้องการจะขับรถมาเพื่อซื้อของเราอย่างเดียว ส่วนมากที่ตั้งใจมาจะเป็นกลุ่มแฟนคลับ ติดร้านเราเหนียวแน่น ลูกค้าส่วนมากจะเป็นขาจร เดินไปเดินมา ผมขายมาหลายปี ทุกวันนี้ลูกค้าหน้าใหม่ยังมาอยู่เรื่อยๆ
2. หาที่ ที่ใกล้ๆ ร้านขายข้าว คลีนิค ร้านเกมส์ ตลาดนัด โรงเรียน โรงงาน สถาบันการศึกษา ที่จอดรถในห้าง กลุ่มพวกนี้ ร้านหน้าใหม่มักอยู่รอด แต่ไม่เสมอไป เพราะปัจจัยต่อมาคือ ขนาดร้าน
3.ถ้าเช่าอยู่ อย่าไปตกแต่งเยอะครับ รอขายดีๆก่อนค่อยตกแต่ง จากประสบการ์ณที่ผ่านมา ผมเห็นมาเยอะ ร้านหรู ๆ เจ้งมาเยอะ
เรื่องค่าเช่าแนะนำไว้เลยครับหาที่เช่าที่ไม่ผูกสัญญายาวๆ เช่น มัดจำ 2 ปี ควรต่อรองกับเจ้าของที่ ว่าไม่ขอมัดจำแต่ขอเพิ่มเป็นจ่ายรายเดือนแทน แล้วถ้าขายดีอยู่ได้ จะทำสัญญาทีหลัง เพราะเวลาท่านไปไม่รอดก็ยังกลับตัวทัน ไม่ไปเสียเงินก้อน อย่าลืมที่จอดรถหน้าร้านสำคัญนะครับ ผมเสียลูกค้ามาเยอะล่ะจากไม่มีที่จอดล่ะ
สำหรับทำเลเอาแค่นี้ก่อนนะครับ ไม่กล้าฟันธง เพราะเห็นบางร้านอยู่ในตลาดก็เจ้ง บางร้านอยู่ในซอยกลับขายดี บางอย่างก็บอกยากครับ แต่ที่แน่ๆ อย่างที่ผมแนะนำ คือ ทำเลที่ดีคือ แหล่งที่คนเดินผ่าน ไม่ใช้รถผ่าน
ค่าเช่าอาคาร ถ้าร้านขนาดเล็ก มีของประมาณ 5000-6000 ชิ้น ค่าเช่าไม่ควรเกิน 5000 บาท เพราะเดี๋ยวขายได้เท่าไรลงค่าเช่าหมด
ซื้อของจากไหนมาขาย
แหล่งของ 20 บาทมีเยอะมากครับ หาใน google มีเพียบแต่ะเจ้าของเหมือนกันหมด สั่งเจ้าไหนก็เหมือนๆกัน ราคาก็ใกล้เคียงกัน แต่ผมแนะนำ ถ้าซื้อได้แบบไม่ยกโหลจะดีมากครับ เพราะมากกว่า 20%ของค้างสต็อกขายไม่ออก ถ้าท่านซื้อ 100,000 บาทแบบยกโหล ท่านก็จะได้สินค้าประมาณ 500 กว่าแบบ แต่ถ้าท่านซื้อแบบครึ่งโหล ท่านจะได้ 1,000 กว่าแบบ
ร้านท่านก็จะน่าสนใจขึ้นเยอะ อีกอย่างคือ สินค้าที่เป็นกลุ่มกิ๊ปชอปหรือสินค้าที่ต้องขายความสวยงาม เช่น สมุดลายการ์ตูน สติ๊กเกอร์ กรอบรูป รูป 3 มิติ กล่องใส่ของลายต่างๆ ของพวกนี้เวลาสั่งยกโหลเราจะเลือกลายไม่ได้ครับ เวลาไปซื้อเขาก็จะ Pack ร่วมๆกันไว้ ที่สวยๆมีประมาณ 4-5 ชิ้นนอกนั้น ลายก็ไม่น่าสนใจ ขายไม่ออก ทำให้ค้างสต๊อก และกลุ่มสินค้าที่เป็นเคมี พวกกาว น้ำยาต่างๆ ต้องระวังมากๆครับ บางทีซื้อมาแห้งหมดแล้วใช้งานไม่ได้ และพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานเช่นปลั๊กไฟ ต่างๆ ผมเคยโดนช็อตมาล่ะ เกือบแย่ และต้นทุนอีกอย่างก็คือค่าขนส่ง กับสินค้าเสียหาย ยิ่งร้านอยู่ต่างจังหวัดต้องสั่งของจากกรุงเทพแล้วล่ะก็ หมดกับค่าขนส่งพอสมควร แต่ถ้าขับรถไปซื้อเองได้แม้ว่าจะแพงหน่อยแต่ถ้าได้เลือกสินค้าเองก็ะคุ้มกว่า หาร้านขายส่งตามจังหวัดของท่าน ผมเชื่อว่ามีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีแจ้งผมด้วย จะไปเปิดเอง 5555+
การลงของผมแนะนำอีกวิธีครับ กลุ่มพลาสติก เครื่องเขียน ของเล่น กิ๊ฟชอป พวกนี้ ไปหาซื้อที่ร้างขายส่งเฉพาะทางดีกว่าครับ จะได้ราคาถูกๆๆๆๆๆมากๆๆๆแล้วมายำผสมกันแล้ว Pack ใหม่ เป็นของ 20 ดีกว่า
อะไรขายดี
ผมฟันธงเลยครับหลายๆร้านที่เปิดมา ขายดีเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ทำเลไหน คือ ของเล่น กับ ของใช้ทั่วไปที่มีลายน่ารักๆ ครับ
กลุ่มพวกนี้ขายดีตลอดปีตลอดชาติ พวกปากกา กระจก พรมเช็ดเท้า ไม้จิ้มฟัน ไม้ปัดขนไก่ ถุงขยะ ตะเกียบ ปืนไฟเข็ค อีกเยอะขายออกหมด ไอ้ที่ขายไม่ออกสำคัญกว่า กลุ่มที่ไม่เคยขายได้เลยตั้งแต่ซื้อมา คือ พวกกลอนหน้าต่าง เครื่องมือช่า่งบางอย่างเช่น เลือย แฟ้มใส่เอกสารก็ขายไม่ออก ที่กรองน้ำมัน
หลักการง่ายๆครับ สินค้าที่ต้องนำไปใช้งานจริงจัง จะขายไม่ค่อยบ่อย เช่น เลื่อย ค้อน แม๊ก ถัง
สินค้าที่ใช้ทิ้งใช้ขว้าง จะมีอัตราการซื้อซ้ำๆบ่อย เช่น ไม้จิ้มฟัน ถุงขยะ ไส้แม๊ก
สินค้าที่สวยงาม ทุกอย่างที่มีลวดลาย อันนี้ ขายสบายๆครับ เอามาเดี๋ยวเดียวก็หมด
กำไรเท่าไร?
ประมาณ 20-25% ครับ หักค่าใช้จ่ายแล้วนะครับ พวกค่าขนส่ง แต่ไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่า
วันๆขายได้ประมาณเท่าไร บางคนก็หลักหมื่น บางคนก็หลักพัน บางคนก็หลักร้อย อิอิ บอกยากครับ อยู่ที่ทำเล กับปริมาณลูกค้าของท่าน แต่ที่แย่ๆ เคยเปิดที่มหาวิทยาลัย ขายได้เฉลี่ยวันล่ะ 900 บาท ยอดขายนะครับ ไม่ใช้กำไร กำไรประมาณ 200 บาท ค่าฟเดือนเป็นหมื่น เจ้งแบบบาดเจ็บ
ตามต่างจังหวัด ก็ได้ได้ยอดประมาณวันล่ะ 1000 - 5000 กว่าก็มี ถ้าช่วงเทศกาลจะขายดีมากบางวัน 7000-10000 สบายๆ เพราะช่วงนั้น พวกโรงงาน โรงเรียน จะซื้อของแจกกัน
คืนทุนเมื่อไร
อยู่ที่ท่านขายได้เท่าไรด้วย ธุรกิจนี้ ต้องวัดใจกันหน่อย เดี๋ยวมาเขียนต่อ ขายของก่อนลูกค้ามา
กลับมาแล้ว ธุรกิจ ทุกอย่าง 20 บาท ยังน่าลงทุนอยู่ แต่จะรวยหรือจะเจ้ง อยู่ที่คนทำล่ะครับ ว่าดึงลูกค้าได้มากแค่ไหน ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จกับธุรกิจนี้นะครับ ใครอยากมีเรื่องราวธุรกิจ 20 บาท หรือการทำ ธุรกิจอื่น จะรวยหรือเจ้งก็มาแบางปันกันนะครับเดี๋ยวผมจะเปิดบอร์ดไว้ให้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยท่านได้นะครับ และฝากถึงร้าน ขายส่งทุกท่าน ช่วยกระจายสินค้าให้พวกเราทั่วถึงด้วยครับ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น